[Blockchain] นิยามคำศัพท์ภาษาไทยสำหรับผู้เริ่มต้น

Thanwa Jindarattana
2 min readSep 2, 2020

--

สวัสดีครับ วันนี้ผมมาเขียนคำศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน (มีอีเธอเรียมร่วมด้วยเล็ก ๆ น้อย ๆ) สำหรับคนที่ต้องเขียนเอกสารเป็นภาษาไทย โดยผมจะพยายามจะเขียนเป็นภาษาไทยให้ได้มากที่สุด (หลีกเลี่ยงการใช้ทับศัพท์)

เนื่องจากคำศัพท์ที่ยกมาต่อไปนี้ใช้อาจถูกใช้ในสาขาวิชาอื่น ๆ จึงขอชี้แจงคำศัพท์เพื่อเน้นถึงความหมายที่สอดคล้องกับศาสตร์ทางด้านบล็อกเชนและทางด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นการนิยามคำศัพท์แบบไม่เป็นทางการ โปรดใช้วิจารณญาณก่อนนำไปใช้

ธุรกรรม (transaction) คือกิจกรรมหรือข้อมูลที่ต้องการส่งจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยต้องระบุผู้ส่งและผู้รับ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเงิน

บล็อก (block) คือกลุ่มของธุรกรรมที่ถูกปิดบัญชีโดยนักขุด โดยแต่ละบล็อกจะมีค่าแฮชเพื่อใช้สำหรับอ้างอิง (identification)

แฮชฟังก์ชัน (hash function) คือฟังก์ชันในการเปลี่ยนข้อมูลใด ๆ ให้เป็นข้อมูลที่มีขนาดคงที่ โดยไม่สามารถย้อนกลับไปหาข้อมูลเดิมได้โดยง่าย

ลายเซ็นดิจิทัล (digital signature) คือสิ่งที่ยืนยันความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูลและสามารถใช้ในการเชื่อมโยงไปยังบุคคลที่เซ็นเอกสารได้ โดยบุคคลนั้นไม่สามารถปฏิเสธการรับผิดชอบได้

ความสมบูรณ์ของข้อมูล (data integrity) คือความสามารถในการตรวจสอบหรือพิสูจน์ได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเอกสารหลังจากที่ได้มีการเซ็นไปแล้วหรือไม่

บล็อกเชน (blockchain) คือเทคโนโลยีของฐานข้อมูลดิจิทัลประเภทหนึ่ง โดยข้อมูลจะถูกเก็บแบบกระจายตัว โดยมีกระบวนการทำฉันทามติเพื่อสร้างความจริงเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งมีการเชื่อมโยงกันระหว่างบล็อกโดยใช้ค่าแฮชเพื่อยืนยันความถูกต้องของบล็อกก่อนหน้า โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1. บล็อกเชนแบบเปิด (permissionless or public blockchain) คือบล็อกเชนที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ผ่านทางเครื่องข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์โดยไม่ต้องได้รับการอนุญาต

2. บล็อกเชนแบบปิด (permissioned or private blockchain) คือบล็อกเชนที่ต้องขออนุญาตในการเข้าร่วมเครือข่าย

ระบบกระจายตัว (decentralized system) คือระบบที่อำนาจการตัดสินใจขึ้นอยู่กับผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมกับระบบโดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเชื่อถือตัวกลาง

นักขุด (miner) คือโนดที่เข้าร่วมเครือข่ายบล็อกเชนเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรม ซึ่งต้องปฏิบัติตามฉันทามติที่ระบบกำหนดไว้ก่อนที่จะปิดบัญชีเพื่อสร้างบล็อกใหม่และประกาศให้โนดอื่น ๆ ทราบต่อไป โดยกระบวนการนี้จะมีรางวัลให้กับนักขุดที่สามารถปิดบล็อกและประกาศได้เป็นลำดับแรก รวมทั้งค่าธรรมเนียมที่ผู้ส่งธุรกรรมต้องชำระมายังนักขุด

ค่าธรรมเนียมธุรกรรม (transaction fee) คือมูลค่าที่ต้องชำระให้กับนักขุด โดยจำนวนของค่าธรรมเนียมจะแปรผันตรงกับความเร็วในการนำธุรกรรมนั้นเข้าสู่บล็อกเพื่อให้นักขุดปิดบัญชี

เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (P2P Network) คือเครือข่ายรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะกำหนดให้แต่ละโนดมีสิทธิเท่าเทียมกัน โดยแต่ละโนดอาจมีข้อมูลเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถร้องขอหรือแบ่งปันข้อมูลให้โนดอื่น ๆ ได้

โนด (node) คือ คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับประมวลผล อาจหมายถึง CPU, GPU, FPGA หรือ ASIC

ตัวประมวลผลจุดประสงค์เดียว (ASIC) คืออุปกรณ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาทำงานแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง และเป็นที่นิยมสำหรับใช้ในการปิดบัญชีในบางบล็อกเชน

รางวัลจากการขุด (block reward) คือผลตอบแทนที่มีมูลค่าที่ได้จากการปิดบัญชี เพื่อดึงดูดให้นักขุดเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบบัญชีและบำรุงรักษาบล็อกเชนให้มีความปลอดภัย ซึ่งผลตอบแทนนี้จะส่งผลต่ออุปทานในทางเศรษฐศาสตร์

ฉันทามติ (consensus) คือข้อตกลงที่ใช้ร่วมกันที่มีลักษณะเป็นการยอมรับแบบเอกฉันท์

การพิสูจน์ด้วยการทำงาน (Proof of work: PoW) คือฉันทามติประเภทหนึ่ง ที่ต้องใช้กำลังในการประมวลผลทางด้านคอมพิวเตอร์ (อาจเรียกว่าการขุด, การปิดบัญชี, หรือการปิดบล็อก) ซึ่งกำลังในการประมวลผลเหล่านั้นจะถูกนำมาหาค่านอนซ์เพื่อสร้างค่าแฮชสำหรับปิดบัญชี โดยค่าแฮชต้องตรงกับเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ กระบวนการพิสูจน์ด้วยการทำงานมีหน้าที่อยู่ 2 อย่างคือ

1. เพื่อสร้างเหรียญใหม่ (block reward)

2. เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดการจ่าย 2 ครั้ง

การค้ำประกันในบล็อกเชน (Proof of stake: PoS) คือฉันทามติประเภทหนึ่ง มีหน้าที่หลักเช่นเดียวกับการพิสูจน์ด้วยการทำงาน แต่ผู้ที่จะมาตรวจสอบธุรกรรมจำเป็นต้องวางหลักประกันไว้ในระบบ ซึ่งจะประกอบด้วยผู้ตรวจสอบ (validator) เพื่อทำหน้าที่ผลิต (mint) บล็อกใหม่

ค่าความยากของการปิดบล็อก (block difficulty) คือตัวแปรหนึ่งในระบบบล็อกเชน มีเป้าหมายคือควบคุมอัตราการเกิดบล็อกใหม่ไม่ให้เร็วหรือช้าเกินไป โดยตัวแปรนี้จะอยู่ในรูปแบบของบิต

ความสูงของบล็อก (block height) คือลำดับของบล็อกนั้น ๆ โดยนับเริ่มนับตั้งแต่บล็อกต้นกำเนิด

นอนซ์ (nonce) คือค่าที่นักขุดต้องค้นหาเพื่อให้ค่าแฮชตรงตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดโดยค่าความยากของการปิดบล็อก โดยจะนำธุรกรรมทั้งหมดมารวมกับค่านี้ก่อนที่จะคำนวณหาค่าแฮช

ระยะเวลาในการปิดบัญชี (block time) คือระยะเวลาระหว่างการปิดบัญชีระหว่าง 2 บล็อกที่อยู่ติดกัน โดยระยะเวลาได้จะขึ้นอยู่กับค่าความยากของการปิดบล็อก โดยปกติจะพูดถึงค่านี้โดยใช้ค่าเฉลี่ย

การปรับค่าความยากของการปิดบล็อก (difficulty adjustment) คือการนำระยะเวลาในการปิดบัญชีในอดีตมาหาค่าเฉลี่ยเพื่อปรับค่าความยากของการปิดบล็อกเพื่อให้ระยะเวลาในการปิดบัญชีอยู่ในอัตราที่ระบบได้กำหนดไว้

บล็อกแฮช (blockhash) คือค่าแฮชของบล็อกนั้น ๆ โดยสามารถใช้ค่านี้ในการอ้างอิงถึงบล็อกต่าง ๆ

เวลาการประกาศบล็อก (block timestamp) คือเวลาที่นักขุดทำการบันทึกลงในบล็อกใด ๆ โดยค่านี้จะมีความใกล้เคียงกับเวลานักขุดทำการปิดบัญชีได้

การแยกบล็อกเชน (Fork) คือ การแยกสายใหม่ของบล็อกเชนออกไปจากบล็อกเชนสายเก่า ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท

1. การแยกแบบตั้งใจ (intentional fork) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1.1 การแยกแบบแข็ง (hard fork) คือการแยกสายบล็อกเชนเพื่อสร้างระบบใหม่ที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้กับบล็อกเชนสายเก่า โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะหลัก

1.2 การแยกแบบอ่อน (soft fork) คือการแยกสายบล็อกเชนเพื่อเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะบางอย่างจากบล็อกเชนสายเก่า แต่ยังคงทำงานร่วมกับบล็อกเชนสายเก่าได้

2. การแยกแบบไม่ตั้งใจ (accidental fork) คือการแยกที่เกิดจากมีนักขุดมากกว่า 1 โนดสามารถปิดบัญชีได้ภายในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน โดยผู้ชนะคือบล็อกที่มีบล็อกอื่นมาต่อเยอะที่สุด

3. การแยกเพื่อโจมตี (attack fork) คือการแยกเพื่อวัตถุประสงค์ในการโจมตี เช่นผู้โจมตีต้องการทำให้บล็อกบางบล็อกกลายเป็นโมฆะ

การจ่ายสองครั้ง (double spending) คือการสร้างและส่งธุรกรรมเข้าไปในเครือข่ายบล็อกเชนมากกว่า 1 ธุรกรรมก่อนถึงเวลาในการปิดบัญชี โดยที่ระบบไม่อนุญาตให้ธุรกรรมเหล่านี้เข้าไปอยู่ในบล็อกได้ทั้งหมดเนื่องจากข้อมูลในธุรกรรมเหล่านั้นมีความขึ้นต่อกันหรือขัดแย้งกัน

บล็อกต้นกำเนิด (genesis block) คือบล็อกแรกสุดของบล็อกเชนที่ไม่มีค่าแฮชชี้ไปยังบล็อกก่อนหน้า

บล็อกแพเรนท์ (parent block) คือบล็อกที่อยู่ก่อนหน้าบล็อกลูก

บล็อกลูก (child block) คือบล็อกที่มีต้นกำเนิดมาจากบล็อกแพเรนท์ ซึ่งบล็อกลูกจำเป็นต้องชี้ไปหาบล็อกแพเรนท์ด้วยค่าบล็อกแฮชของบล็อกแพเรนท์

บล็อกกำพร้า (orphan blocks) คือบล็อกที่มีการปิดบัญชีตรงตามเงื่อนไขและมีการประกาศสู่เครือข่ายบล็อกเชนในเวลาใกล้เคียงกันกับบล็อคที่ได้รับการยอมรับ แต่ไม่มีบล็อกอื่นมาสร้างต่อจากบล็อกนี้

บล็อกลุง (uncle blocks) คือบล็อกกำพร้าในบล็อกเชนอีเธอเรียม ซึ่งจะมีรางวัลจากการสร้างบล็อกประเภทนี้ แต่รางวัลจะไม่เท่ากับบล็อกที่ได้รับการยอมรับ

เงินตราเข้ารหัสลับ (cryptocurrency) คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกแบบให้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน ที่ใช้วิทยาการเข้ารหัสลับเพื่อรับประกันธุรกรรม เพื่อควบคุมการสร้างหน่วยเงินเพิ่ม และเพื่อยืนยันความถูกต้องของการโอนทรัพย์

บิตคอยน์ (Bitcoin) คือเงินตราเข้ารหัสลับตัวแรกที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ถูกนำมาใช้งานครั้งแรกในปี ค.ศ. 2009 และเป็นต้นแบบในการสร้างเงินตราเข้ารหัสลับชนิดอื่น ๆ

อีเธอเรียม (Ethereum) คือเงินตราเข้ารหัสลับประเภทหนึ่งที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเช่นเดียวกับบิตคอยน์ แต่ถูกแก้ไขข้อบกพร่องและเพิ่มความสามารถต่าง ๆ เช่นให้สามารถสัญญาอัจฉริยะสามารถทำงานได้

สัญญาอัจฉริยะ (smart contract) คือซอร์สโค้ดที่ระบุขั้นตอนวิธีสำหรับงานใด ๆ ซึ่งจะถูกแปลงเป็น bytecode เพื่อให้สามารถนำไปติดตั้งบนบล็อกเชนได้

อีวีเอ็ม (Ethereum Virtual Machine) หรือเครื่องเสมือนอีเธอเรียม เป็น turing complete machine สำหรับสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนอีเธอเรียม

อีซีซี (Elliptic Curve Cryptography) คืออัลกอริทึมการเข้ารหัสแบบไม่สมมาตรชนิดหนึ่ง

กุญแจแบบไม่สมมาตร (Asymmetric keys) คือระบบที่ใช้กุญแจ 2 ดอก ดอกหนึ่งสำหรับเข้ารหัส ส่วนอีกดอกสำหรับใช้ถอดรหัส

กุญแจส่วนตัว (Private key) คือ กุญแจสำหรับใช้เข้ารหัสเพื่อส่งหรือลงนามธุรกรรม

กุญแจสาธารณะ (Public key) คือ กุญแจสำหรับถอดรหัสข้อมูลของผู้ที่เข้ารหัสด้วยกุญแจส่วนตัวซึ่งเป็นคู่ของกุญแจดอกนี้ ทั้งนี้เราสามารถส่งกุญแจสาธารณะของเราให้ใครก็ได้ที่เราอยากสื่อสารด้วย

เลขบัญชีเงินตราเข้ารหัสลับ (cryptocurrency address) คือที่อยู่สำหรับรับธุรกรรมจากบัญชีอื่น ๆ โดยถูกสร้างจากกุญแจสาธารณะที่ถูกย่อส่วนให้มีความยาวคงที่

กระเป๋าเงินดิจิทัล (cryptocurrency wallet) คือที่เก็บเงินตราเข้ารหัสลับ โดยกระเป๋าเงินดิจิทัลจะทำหน้าที่เซ็นหรือส่งธุรกรรมโดยใช้รหัสรับ (private key)

รหัสช่วยจำ (mnemonic) คือชุดของคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มนุษย์สามารถอ่านออกเสียงและจดจำได้ง่าย โดยจะใช้ในการสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัลโดยผ่านกระบวนการดีเทอร์มินิสติก

ดีเทอมินิสติก (deterministic) คือทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีปัจจัยที่สามารถกำหนดได้โดยสมบูรณ์

ข้อมูลต้นกำเนิด (seed) คือข้อมูลดิจิทัลใด ๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นต้นกำเนิดในการสร้างผลลัพธ์ (บางครั้งอาจใช้คำนี้สื่อถึงรหัสช่วยจำ) โดยข้อมูลต้นกำเนิดที่ดีจะต้องมีค่าเอนโทรปีที่สูง

เอนโทรปี (entropy) คือตัวชี้วัดของความผิดปกติของระบบใด ๆ

เมตะมาส์ก (MetaMask) คือแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัลบนสมาร์ทโฟนและเว็บเบราเซอร์ที่สามารถโต้ตอบกับอีเธอเรียมบล็อกเชนได้ ซึ่งใช้เว็บธรีในการพัฒนา

เว็บธรี (Web3) คือไลบรารี่ที่อำนวยความสะดวกในการติดต่อกับเว็บไซต์แบบกระจายอำนาจ (decentralize)

ภาษาโซลิดิตี (Solidity) คือภาษาชนิดหนึ่งที่สามารถใช้เขียนสัญญาอัจฉริยะบนบล็อกเชนอีเธอเรียม

แก๊ส (gas) คือจำนวนของเชื้อเพลิงที่ใช้บนบล็อกเชนอีเธอเรียม ซึ่งต้องจ่ายให้นักขุดเพื่อนให้นักขุดนำธุรกรรมนี้ไปประมวลผลเพื่อปิดบัญชี

ค่าแก๊ส (gas price) คือค่าแก๊สต่อ 1 หน่วย ซึ่งเป็นสกุลอีเธอเรียม ซึ่งค่าแก๊สจะแปรผันตรงกับความเร็วในการนำธุรกรรมเข้าสู่บล็อกเพื่อปิดบัญชี

แก๊สลิมิตของธุรกรรม (transaction gas limit) คือการกำหนดจำนวนของแก๊สไม่ให้เกินค่านี้ ซึ่งสามารถระบุได้ตั้งแต่ตอนสร้างธุรกรรม หากแก๊สที่ใช้จริงเกินค่านี้จะส่งผลให้ธุรกรรมล้มเหลว และต้องเสียค่าแก๊สให้นักขุด ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ในการจำลองการทำธุรกรรมว่าสำเร็จหรือไม่ หากไม่สำเร็จซอฟต์แวร์จะไม่ส่งธุรกรรมให้เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเงิน เช่นเมตะมาส์ก

แก๊สลิมิตของบล็อก (block gas limit) เป็นการบอกขนาดของบล็อกที่สามารถเก็บธุรกรรมต่าง ๆ ไว้ภายในบล็อก โดยแต่ละธุรกรรมต้องมีแก๊สรวมกันไม่เกินค่านี้

หากท่าไหนมีคำแนะนำหรือต้องการเพิ่มคำศัพท์ไหน สามารถแสดงความคิดเห็นใต้บทความนี้ได้เลยครับ

คำศัพท์อื่น ๆ

51 Percent Attack

Airdrop

Algorithm

Altcoin

ASIC-Resistant

Asynchronous

Atomic Swap

--

--

Responses (1)